5ขั้นจัดการปัญหา อย่าปล่อยให้ ‘หนี้’ถึงทางตัน ! ⛔ (ตอนที่1: เกริ่นนำ)

admindebt

5ขั้นจัดการปัญหา อย่าปล่อยให้ ‘หนี้’ถึงทางตัน ! ⛔ (ตอนที่1: เกริ่นนำ)

ทุกคนในโลกนี้ล้วนเคยทำผิด ทุกคนในโลกนี้ล้วนเคยตัดสินใจพลาด ขึ้นอยู่กับว่าจะผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน และขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนที่เคยผิดพลาดจะเรียนรู้บทเรียนชีวิตนั้น ๆ อย่างไร และจะหาทาง “กลับมา” มีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้งได้หรือไม่ ⁉

ความผิดพลาดที่ว่านี้ หมายรวมถึงทั้งเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องความรัก และเรื่องบริหารจัดการเงิน

วันนี้ “well-wisher” มีเรื่องมาเล่าให้ฟังค่ะ

……..

? มีผู้หญิงคนนึงมีครอบครัวที่ดีมาก คุณพ่อคุณแม่ทำงานมั่นคง สะสมทรัพย์สินความมั่งคั่งให้ลูกสาวใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ แต่เพราะความที่เธอคิดว่าตัวเองไม่สวย และเป็นธรรมดาในสังคม ไม่มีอะไรโดดเด่น พอถึงวันนึงมีผู้ชายเข้ามาในชีวิต ก็รีบร้อนคว้าไว้ เพราะคิดว่า นี่คือโอกาสเดียวที่จะมีคนมารัก

แม้พ่อแม่ (รวมถึงเพื่อนฝูง) จะไม่เห็นด้วย แต่เธอก็ไม่ยอมฟังใคร ผู้ชายทำไม่ดีกับเธอสารพัด แต่เธอก็ไม่ตัดใจเลิก เพราะเธอเสียดายเวลาที่คบหากันมายาวนานถึง 15ปี ไม่อยากเริ่มใหม่กับใครอีก

จากปัญหาคู่ครองไม่เหมาะสม เป็นคนที่ไม่ดีพอสำหรับชีวิตเรา สุดท้ายเธอประสบปัญหาทางการเงินหนักมาก จนในที่สุดก็ต้องออกห่างจากเพื่อนในกลุ่ม และในที่สุดก็เลิกรากับผู้ชายที่เคยครั้งหนึ่งไม่ยอมเลิก เพราะ “เสียดายเวลาที่คบหากันมา” ไปเรียบร้อยแล้ว

ผ่านไปหลายปี ..เธอไม่สามารถกลับมาคบหากับเพื่อนเก่าได้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่เธอมีปัญหาทางการเงินคราวนั้น เธอก็ตระเวณยืมเงินเพื่อนเก่าถ้วนหน้า และไม่ยอมใช้คืนให้ใครแม้แต่สตางค์เดียว ? ?

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงหลักคิดเรื่องการลงทุนในธุรกิจ ที่ “กฏเหล็ก” ประการหนึ่งที่นักลงทุนต้องท่องไว้คือ ‘เสียดาย’ ดีกว่า ‘เสียใจ’ ดังนั้น คนที่ลงทุนทำธุรกิจจะต้องท่องคำว่า “หยุดการขาดทุน” หรือ Stop Loss ให้ขึ้นใจไว้เสมอ เพราะธุรกิจบางตัว เราคิดว่าเราศึกษาดีพอแล้ว รู้หน้าก็แล้ว รู้ใจก็แล้ว แต่ก็มีโอกาสที่เมื่อลงทุนไปแล้ว อาจล้มเหลว และมีโอกาสที่ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจตัวนั้นจะเปลี่ยน ดังนั้น เราต้องมีจุดตัดสินใจว่า “เราจะขาดทุนกับมันแค่นี้” ไม่ปล่อยให้ถลำลึกลงหมดตัว

อย่า “เสียดาย” เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะต้อง‘เสียใจ’ซึ่งเจ็บปวดกว่า ?

“well-wisher” ว่า หลักคิดนี้ก็ใช้ได้กับ “ลูกหนี้” แตกต่างแค่ว่า คนที่เป็นลูกหนี้ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลายจนถึงทางตัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันจะแก้ยาก และอาจจะเลยเถิดไปขั้นแก้ไขไม่ได้ ?

น้องลูกหนี้คนล่าสุดที่เพิ่งเจอกัน มีหนี้จากการใช้บัตรเงินสดที่เธอกู้มาเพื่อใช้คืนหนี้นอกระบบ เป็นการแก้ปัญหาแบบเอาน้ำมันไปราดกองไฟ เพราะถึงแม้บัตรเงินสดจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าหนี้นอกระบบ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการแก้ปัญหานี้

ปัญหามันเกิดจากการกู้หนี้นอกระบบมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ เล่นพนันบอล และอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าข่ายเป็น “หนี้เสีย” ไม่ใช่ “หนี้ดี” ขณะที่เจ้าหนี้ก็โขกดอกเบี้ยสูงถึง 30% ต่อเดือน หรือ 360% ต่อปี กู้มา 50,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยเดือนละ15,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยแค่ 4เดือนยอดจ่ายก็เกินเงินต้นแล้ว พอไม่ไหวจริง ๆ ก็คิดง่าย ๆ ด้วยการกดเงินจากบัตรเงินสดไปปิดหนี้นอกระบบ

…บัตรเงินสดนั้นคิดดอกเบี้ย 20-27%ต่อปี ขึ้นอยู่กับวงเงินกู้ แม้จะดูว่า “โหดน้อยกว่า” หนี้นอกระบบ แต่เมื่อกู้มาแล้วไม่เคยชำระคืน สถาบันการเงินผู้ให้กู้ก็มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกวนไป จนล่าสุดหนี้ 50,000 บาทนั้นพอกพูนกลายเป็นเกือบ 2 แสนบาท “well-wisher” แนะนำให้เจรจากับเจ้าหนี้ หรือหาทางติดต่อคลินิกแก้หนี้ที่ดอกเบี้ยถูกกว่า แต่น้องลูกหนี้บอกว่า “ตอนนี้เรื่องไปถึงศาลแล้ว อยู่ระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี”

นี่ก็เป็นตัวอย่างของการปล่อยให้หนี้เดินไปถึงทางตัน!จนตัวเองต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมีคดีติดตัว แม้สุดท้ายจะประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ หรือถูกสั่งอายัดเงินเดือนบางส่วน แต่ “เครดิต” หรือ “ความน่าเชื่อถือ” ก็ไม่มีเหลือแล้ว ต่อไปจะกู้เงินลงทุนธุรกิจ ซื้อบ้าน ซื้อรถก็ยากหมด ??