วางแผนการเงินด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

adminfinbook

เศรษฐกิจพอเพียง กับการวางแผนทางการเงิน ?

ในการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ควรที่จะมีหลักยึด หรือกรอบแนวคิดอะไรบางอย่างที่จะให้เราใช้เป็นที่ยึดมั่น หรือเป็นกรอบทางเดินให้เรา เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของชีวิตที่ดี หนึ่งในความโชคดีของประเทศไทยที่เรามีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นปรัชญาที่รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ซึ่งแนวคิดนี้ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็เป็นกรอบแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุก ๆ เรื่อง ทั้งในด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ รวมถึงการวางแผนทางการเงินสำหรับคนทุกคน ?

การวางแผนทางการเงิน ก็เป็นกระบวนการหนึ่งของทุก ๆ คน ที่มีจุดประสงค์คือต้องการเตรียมความพร้อมในการใช้เงินในอนาคต ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ต้องการมีเงินที่พร้อมเกษียณ และต้องการสร้างความสุขให้คนใกล้ตัว แน่นอนว่าการวางเป้าหมายในชีวิตไว้แต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือกระบวนการในการวางแผนทางการเงินต่าง ๆ ที่จะทำให้บรรลุผลลัพธ์ได้สำเร็จ ?

กระบวนการที่ดี ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ฉันใด การวางแผนทางการเงินที่ดีก็ย่อมนำไปสู่ ความมั่งคั่งในอนาคตได้ฉันนั้น และกรอบแนวคิดของการวางแผนทางการเงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เรามาดูว่าเราจะใช้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางได้อย่างไร

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสรุปออกมาอย่างสั้น ๆ 3 หลักการคือ
(1) การมีเหตุผล
(2) การมีความพอประมาณ
(3) การมีภูมิคุ้มกัน

ซึ่งทั้ง 3 หลักการนี้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานคือ (1) ต้องมีความรู้ และ (2) ต้องมีคุณธรรม

สำหรับหลักการข้อแรก การมีเหตุผล ? ความหมายก็คือ การที่ไม่เชื่อใคร หรือเชื่ออะไรง่าย ๆ จะต้องดูเหตุผลที่มีที่มาที่ไป และหาข้อมูลจากหลาย ๆ ทางก่อนที่จะเชื่ออะไรลงไป ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมีความรู้เป็นพื้นฐาน เพื่อไม่ให้หลงเชื่อผู้ที่ไม่หวังดี และทำให้สภาวะทางการเงินของเราเสียหายไป จากข่าวที่มีการหลอกลวงการขายทริปท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นในราคาถูกเกินจริง หากเรามีหลักการข้อนี้ก็จะพิจารณาเหตุผล ที่มาที่ไปก่อนที่จะหลงเชื่อ หรือการไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนเกินจริง โดยที่เราไม่รู้ข้อมูลอย่างแท้จริง หรือที่มาที่ไปของผลตอบแทนที่โฆษณา เราก็ไม่ควรหลงเชื่อและนำเงินของเราไปทิ้งในสิ่งนั้น ๆ

หลักการข้อถัดมา หลักการของการมีความพอประมาณ ? ความหมายของคำว่าพอประมาณของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าความพอประมาณอยู่ในระดับใด แต่ทั้งนี้ให้ดูที่ความรู้ความสามารถของแต่ละคน แต่สิ่งที่ทุกคนควรที่จะพิจารณากระทำในหลักการของความพอประมาณคือ ความไม่ฟุ้งเฟ้อ ความประหยัด หรือการที่ไม่ทำอะไรที่มันสุดโต่งเกินไป เช่นกู้เงินมาจำนวนมากเพื่อต้องการให้ประสบความสำเร็จเร็ว ๆ เป็นต้น ทั้งนี้การประเมินความพอประมาณจึงต้องประเมินควบคู่กับความสามารถของเราว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่

หลักการข้อสุดท้าย คือหลักการการมีภูมิคุ้มกัน ?ความหมายคือ การไม่ประมาท คิดถึงความเสี่ยง หรือ ความผิดพลาดของเราที่จะมีโอกาสเกิดขึ้น ข้อนี้จัดได้ว่าเป็นข้อที่สำคัญที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป เพราะเรามักจะคิดแต่ว่าจะวางแผนทางการเงินอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด โดยมองข้ามความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีโอกาสจะเกิด และถ้าเกิดขึ้นจะทำให้แผนการเงินของเราเสียหายในระยะยาว ตัวอย่างความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดเช่น เราอาจจะมีโอกาสที่สุขภาพจะไม่ดีจนต้องเข้าโรงพยาบาล เราอาจจะมีโอกาสประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องสูญเสียเงินทองมารักษา หรือถ้าเราโชคร้ายเสียชีวิต ก็น่าจะเกิดผลกระทบกับคนใกล้ตัว เป็นต้น การคำนึงถึงความเสี่ยงและหาวิธีทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

ทั้ง 3 หลักการตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องมีความรู้ และต้องมีคุณธรรม การมีความรู้เป็นพื้นฐานที่สำคัญอยู่แล้ว ซึ่งการวางแผนการเงินก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้จึงจะสามารถวางแผนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีคุณธรรม นั่นรวมถึงความซื่อสัตย์ ไม่โกง ไม่สร้างความเดือนร้อนให้ผู้อื่น ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ใดที่คิดดี ทำดี พูดดี ก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีค่ะ