? 4 อันดับโรคร้ายทางการเงิน ?

adminpersonalfin

? 4 อันดับโรคร้ายทางการเงิน ?

ทุกวันนี้ นอกจากโควิด-19 ที่เราทุกคนต้องระวังแล้ว เรายังต้องระวังโรคร้ายทางการเงิน ที่อาจจะเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤตหลังโรคระบาด แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของเราเอง ซึ่งคงจะดีหากทุกคนใช้ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อไม่ให้เชื้อร้ายเหล่านี้มากัดกินชีวิตเราได้อีก ใครเป็นโรคไหนอยู่บ้าง
… ส่วน “well-wisher” นั้น โรคสุดท้ายค่ะ
กำลังหาทางทุเลาโรคอยู่

? 1. โรคทรัพย์จาง

อาการ
นี่คือไข้หวัดแห่งวงการการเงิน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีอาการ หน้ามืด อ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายขาดวิตามิน M (Money)
พูดง่าย ๆ คือ “เงินน่ะมี แต่น้อย” พบได้ทั่วไปในกลุ่มวัยทำงาน และมีการระบาดหนักในช่วงกลางเดือนไปถึงสิ้นเดือน และอาการมักจะหายไปในช่วงเงินเดือนออก

การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะรักษาตามอาการ ไม่ใส่ใจที่จะรักษาให้หายขาด ซึ่งการจะรักษาให้หายขาดนั้น จำเป็นต้องวางแผนการใช้จ่ายใหม่ บริโภคให้น้อยกว่ารายจ่าย และเมื่อมีรายรับ ให้รีบหักไว้ออมก่อนทันที เพราะถ้าไปรอออมตอนสิ้นเดือนก็มักจะไม่มีเหลือมาให้ออมสักที

? 2. โรคความต้องการในโลหิตสูง (แต่เงินในกระเป๋าต่ำ)

อาการ
โรคนี้เกิดจาก Lifestyle ของตัวผู้ป่วย และอาจส่งต่อกันทางกรรมพันธุ์ด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักมีความต้องการที่จะบริโภคสิ่งต่า งๆ สูง ไม่ว่าจะถูกหรือแพง สวนทางกับจำนวนเงินในกระเป๋าที่ไม่ได้มีมากพอที่จะจ่ายทุกอย่างที่ตนเองต้องการ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะมีอาการลุกลามไปยังโรคทรัพย์จาง ชักหน้าไม่ถึงหลัง และโรคปวดเกษียณด้วย

การรักษา
แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้จ่ายเงินของตัวเอง ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเริ่มกาวางแผนออมเงินอย่างเป็นระบบ หากต้องการซื้อสิ่งไหนให้ใช้การวางแผนออมเงินและลงทุนมาช่วยในการเก็บเงินซื้อของสิ่งนั้น รวมถึงแบ่งเงินไปลงทุนหรือกันเงินไว้ใช้สำรองฉุกเฉินบ้าง

? 3. โรคหมดไหลย้อน

อาการ
โรคนี้มักเกิดจากการป่วยเป็นโรคทรัพย์จางก่อน และเมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจึงมีอาการของโรคหมดไหลย้อนตามมา โดยอาการที่ว่า คือ ตัวผู้ป่วยมีเงินในกระเป๋าต่ำ จึงหาทางออกโดยการหยิบยืมเพื่อนฝูง ลามไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้อง เกิดเป็นที่มาของโรค “หมดไหลย้อน” คือตัวเองไม่ได้หมดคนเดียว แต่ไปทำให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องหมดตามไปด้วย

การรักษา
ผู้ป่วยมักจะมีเหตุผลในการเป็นโรคนี้ว่า “ช่วงนี้ช็อต เตรียมเงินไม่ทัน มีเรื่องเดือดร้อน ขอมาหมุนก่อน เดี๋ยวเดือนหน้าเอามาคืน” แม้บางครั้งจะรู้ว่าไม่เป็นความจริง แต่ก็หลวมตัวเป็นเจ้าหนี้อยู่บ่อยครั้ง การรักษาจึงต้องเริ่มที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายในรายการที่ไม่จำเป็น หรือถ้าช็อตบ่อยจริง ๆ ก็ควรเตรียมเงินสำรองเผื่อไว้เลย หากรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากจะมีเงินในกระเป๋า ยังเป็นการรักษามิตรภาพระหว่างกันไว้ด้วย

? 4. โรคปวดเกษียณ

อาการ
นี่คือเนื้อร้ายแห่งวงการการเงิน ความรุนแรงของโรคสูง หากปล่อยปะละเลยจนมีอาการเรื้อรัง จะทำให้รักษายากมาก ๆ และเริ่มระบาดในกลุ่มวัยทำงานที่มีอายุ 40+ โดยผู้ป่วยจะมี อาการปวดหัว หน้ามืด เครียดเนื่องจากรู้ตัวว่าเงินที่มีไม่พอจะเลี้ยงตัวเองตอนเกษียณ ครั้นจะไปพึ่งพาลูกหลานก็ลำบาก (เพราะลูกหลานก็ไม่ไหวเหมือนกัน) โดยจากผลสำรวจพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักเคยป่วยเป็นโรคทรัพย์จางมาก่อน

การรักษา
ไม่มี

การป้องกัน / ทุเลาโรค สำหรับคนวัย 40+ ที่เริ่มรู้สึกว่าป่วยเป็นโรคปวดเกษียณแล้ว
แนะนำว่าให้รีบปรึกษานักวางแผนการเงิน หาแนวทางในการออมเงินและเริ่มลงมือวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง หากยังไม่เคยออมเงินก็ต้องเข้าโหมดรัดเข็มขัด ก่อนที่จะสายเกินไป
..อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นสัญญาณการป่วยเป็นโรคนี้น้อยลงในกลุ่มคนที่มีการวางแผนออมเงินตั้งแต่อายุ 30+ โดยหากเริ่มออมเงินเร็ว เตรียมพร้อมเรื่องเกษียณเร็ว ยิ่งมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้น้อย

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย