? ขยัน ตั้งใจ(ทำงาน) แต่ทำไมยังไม่รวยซักที ?

adminothers

? ขยัน ตั้งใจ(ทำงาน) แต่ทำไมยังไม่รวยซักที ?

ทำไมเหมือนเราอยู่ในยุคที่ต้องทำงานตลอดเวลา แล้วทำไมยังไม่รวยสักที ชีวิตคนยุคนี้เรามักได้ยินคนส่วนใหญ่พูดเสมอว่า ทำงานประจำอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีอาชีพเสริม ไม่ว่าจะทำงานออนไลน์ ขายของผ่าน Facebook ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะทำงานกันตลอดเวลากันเลยทีเดียว ตอบลูกค้าเช้า สาย บ่าย เย็น ดึก ค่ำ แล้วทำไมยังไม่รวยสักที แล้วจะให้คิดถึงวัยเกษียณ ไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินใช้ได้อย่างไร

จริง ๆ แล้วการเกษียณไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัย 60++ ถึงหยุดทำงานและไม่จำเป็นเสมอไปว่าการเกษียณอายุจะต้องหยุดทำงานเลย 100% เสมอไปเช่นกัน หรือแม้กระทั่งเจ้าของธุรกิจเองบางคนยังต้องทำงาน 24 ชั่วโมงและไม่มีคำว่าเกษียณจากธุรกิจตัวเอง

แล้วทำยังไงให้ทำงานตลอดเวลาแล้วได้เงินมากขึ้น แล้วเหนื่อยน้อยลง..?

? 1. เปลี่ยนตัวจากนักใช้เงิน เป็นนักสร้างเงิน

ข้อนี้สำคัญ ปกติเราทำงานประจำ รับเงินเดือนปุ๊บ สิ่งแรกที่คิดมักคิดว่าเราจะใช้อะไรก่อนดี แต่ถ้าลองคิดกลับกัน เราทำงานได้เงิน แล้วเราจะให้เงินทำงานแทนเราในแบบไหนดี ปล่อยกู้ ลงทุนหุ้น หรือสร้างกิจการเล็ก ๆ จากความชอบ หรือแม้แต่ใช้เงินเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง

? 2. เลือกทำงานที่ใช้เวลาน้อยลง แต่ได้เงินมากขึ้น

แบ่งเวลาชีวิตเป็น 3 ส่วน เมื่อเราทำงานประจำ ซึ่งกินเวลาในชีวิตแต่ละวันไปกว่า 1 ส่วน เวลานอนอีก 1 ส่วน เวลาอีก 1 ส่วนต้องเลือกทำสิ่งที่ได้ผลตอบแทน หรืออาชีพเสริมที่ใช้เวลาน้อย แต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า นักธุรกิจ เจ้าของกิจการหรือคนบางคน จึงเลือกศึกษาการลงทุนในหุ้น เพื่อทำกำไรจากเวลาที่เหลือจากการดูแลกิจการตัวเอง

จากบทสัมภาษณ์หนึ่งของเจ้เล้งดอนเมือง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ถนัดทางด้านการขายเครื่องสำอาง เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ธุรกิจเครื่องสำอางไม่ทำงาน ทำกำไรให้มากนักแต่ต้องลงเวลากับมันเยอะ เพราะความชอบและความใส่ใจ จึงสร้างธุรกิจอื่นที่ใช้เวลาไม่มากแต่ทำกำไรได้มาก เพื่อนำเงินที่ได้จากธุรกิจอื่น มาหมุนธุรกิจเครื่องสำอางที่ต้องลงเงินสดเยอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ธุรกิจทั้งสองทางไม่ได้มีการกู้สินเชื่อจากธนาคาร หรือแม้แต่เอาเงินเก็บมาใช้ทำธุรกิจใด ๆ ให้ธุรกิจ 1 เลี้ยงอีกธุรกิจหนึ่งเป็นวงจรในตัวเอง

? 3. เปิดใจหาประสบการณ์ใหม่ ๆ

เปิดใจ หาเวลาเติมประสบการณ์ชีวิตจากคนอื่น งานแบบอื่น ท่องเที่ยวประเทศอื่นให้ตัวเองบ้าง เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ และความรู้ที่มากขึ้น บางคนไปเที่ยวและเจอนวัตกรรมที่บ้านเราไม่มี ก็นำไอเดียกลับมาประยุกต์เพื่อสร้างเงินได้ หรือมีรถแต่ไม่กล้าไปสมัครขับ UBER หรือ Grab Bike เพราะกลัวไม่มีเวลา เพราะกลัวการเจอคนแปลกหน้า ก็อาจจะปิดกั้นโอกาสบางอย่างของตัวเองไป ลอง…ถ้าไม่ชอบค่อยเลิก ไม่เสียหาย

? 4. ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม

บางอาชีพมีโอกาสจะสูญหายไปในอนาคต เพราะหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์มาทำงานแทน บางคนไม่มองอนาคตของตัวเองแบบนั้น รอให้ถึงเวลาที่เรียกว่าเกือบจะสายค่อยตัดสินใจ และกลายเป็นความล้มเหลวในที่สุด อย่าลืมว่าอายุที่มากขึ้นในแต่ละปีก็หมายถึงกำลังแรงกายที่ถดถอยลงด้วยเช่นกัน ถ้าไม่เริ่มปรับเพื่อพร้อมเปลี่ยน แต่รอให้สถานการณ์บังคับ ถึงตอนนั้นคุณอาจจะเป็นคนเกษียณที่ตกงานก่อนวัยอันควรและไม่มีเงินเลี้ยงใครแม้แต่ตัวเอง

? 5. เปลี่ยนจากการกิน เล่น นอน เที่ยว เป็นการเรียน

เราอาจจะต้องไม่หยุดที่จะศึกษาทั้งแนวคิดและวิธีการสร้างเงินในหลากหลายรูปแบบ และเลือกแบบที่เหมาะสมและตรงกับที่เราต้องการ บางคนชอบให้คนช่วยสร้างเงิน ก็ลงทุนในกองทุนที่มีนักบริหารกองทุนดูแล บางคนชอบการลงทุนด้วยตัวเอง ก็ลองเริ่มธุรกิจที่จำเป็นต่อคนอื่นและเราชอบสักอย่าง หรือ บางคนชอบลุ้น ก็ลองเทรดหุ้นด้วยตัวเองสักที หรือถ้าเอาที่ง่ายที่สุด แค่การลดการเล่นมือถือไปเรื่อย ๆ มาเป็นการเอามือถือมาศึกษาเรื่องการลงทุน เพจสอนการลงทุน หรือการสร้างเงิน ก็อาจจะทำให้คุณมีแนวคิดการสร้างเงินที่ง่ายขึ้นหรือเกษียณจากการทำงานได้ไวขึ้น

? 6. ช้าหมดอดแดก

โลกที่เปลี่ยนในแต่ละครั้ง เกิดผลกระทบทั้งสังคม เศรษฐกิจ และคน ยกตัวอย่าง Grab Bike ที่เข้ามาในเมืองไทยปุ๊บ อาชีพวินมอเตอร์ไซต์ที่มี จากการผูกขาดบริการขนส่งที่ว่องไวแบบเดียวในกรุงเทพ จู่ ๆ ก็กลายเป็นตัวเลือกที่ไม่ค่อยมีคนอยากเลือก เพราะมีทางเลือกที่ดีกว่า สะดวกกว่า บริการดีกว่า ทั้งยังใคร ๆ ก็เรียกได้อีกด้วย

? 7. รู้อะไรเพียงอย่างเดียว

แต่ก่อนรุ่นพ่อแม่ อาชีพส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่เดี๋ยวนี้ความเชี่ยวชาญแต่ไม่รอบรู้อาจจะทำให้ไม่สามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญของเราไปในทางอื่น ๆ ได้ ยกตัวอย่าง นักกฎหมายบางคนไม่รู้จักการเล่น Facebook เพราะยุ่ง และไม่มีเวลาเล่น ถือเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อวันหนึ่งที่เกิดคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือการหมิ่นประมาทบนโลกออนไลน์ การใช้แค่ความเชี่ยวชาญในข้อกฎหมายอาจจะไม่เพียงพอให้สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม ก็อาจจะทำให้ล้มเหลวในอาชีพตัวเองได้เช่นกัน

Original by “well-wisher”