?6 บทเรียนสำคัญที่จะช่วยให้เราเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน?

adminfinbook

?6 บทเรียนสำคัญที่จะช่วยให้เราเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน?

?1) ถ้าเราไม่ตัดสินใจเลือก โลกจะเป็นผู้กำหนดและเลือกเส้นทางชีวิตให้กับเราเอง
You are the result of your choice
ชีวิตคือผลของทางเลือกที่เราตัดสินใจ แต่ถ้าเราไม่ตัดสินใจอะไรเลย สุดท้ายคนอื่นหรือปัจจัยอื่น ๆ ก็จะเลือกทางให้เราเอง
.
ในชีวิตจริง เราต้องเผชิญทางเลือกอยู่มากมาย เช่น จะลาออกมาทำธุรกิจดีมั้ย จะย้ายงานดีมั้ย จะกู้เงินมาลงทุนเพิ่มดีมั้ย
หลายครั้งเราอยากเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดให้ตัวเราเอง
แต่เราก็ไม่รู้ว่าเส้นทางไหนถึงจะดีที่สุด
.
ความจริงแล้วไม่มีใครรู้เลย
เราจึงทำได้เพียง ‘เปรียบเทียบทางเลือกที่มี ณ ปัจจุบัน แล้วเลือกทางที่ดีที่สุด’
ถ้าคิดว่าทางเลือกใหม่ดีกว่าทางเลือกปัจจุบัน ก็เปลี่ยนเลย
.
ถ้าได้เลือกแล้ว ก็จงทำมันให้ดีที่สุด และจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับทางเลือกนั้นให้เป็น
และถ้าเกิดไม่ชอบขึ้นมา ก็ค่อยเปลี่ยนทางเลือกอีกครั้ง
พอเราตัดสินใจไปเรื่อย ๆ ชีวิตก็จะค่อย ๆ เกลาให้เราตัดสินใจเก่งขึ้นเอง

? 2) การลงทุนที่ดีที่สุดคือ การลงทุนที่ทำให้เรานอนหลับฝันดี
สำหรับโค้ชหนุ่มแล้ว อาจเป็นการยากที่จะหาคำตอบว่า ลงทุนในอะไรดีที่สุด
ระหว่าง อสังหาริมทรัพย์ หุ้น ธุรกิจ ทองคำ หรือเหรียญคริปโต
.
แต่การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดอาจเป็น ‘การลงทุนในตัวเอง’
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านดังต่อไปนี้
.

  1. การลงทุนในสุขภาพ
    อาจไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราหาเงินได้มาก แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้
    เช่น ถ้าเราสุขภาพเสียจนต้องนั่งรถเข็น ถึงจะมีเงินไปต่างประเทศได้ แต่ก็คงไม่สนุกเท่าไหร่
    ดังนั้น เราควรหันกลับมาดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้
    นอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบมื้อ ออกกำลังกาย 4- 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
    .
  2. การลงทุนในความคิดและจิตวิญญาณ
    ลงทุนในความคิด จากการเปิดใจรับเรื่องใหม่ ๆ พูดคุยกับคนอื่นให้มาก หมั่นอ่านหนังสือเติมอาหารสมองอยู่เสมอ
    ลงทุนในจิตวิญญาณ เพื่อเติมเต็มอารมณ์ตัวเองให้เป็นสุข หาเวลาพักผ่อน ปลีกวิเวก ใช้เวลากับครอบครัว รู้จักการปล่อยวางบ้าง
    และลงทุนด้วยการแบ่งปันเพื่อทำให้จิตใจตัวเองเบ่งบาน
    .
  3. การลงทุนในความรู้
    ลงทุนหาความรู้ในการใช้เครื่องมือการลงทุนชนิดต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ดีมากขึ้น
    .
    ⚖️ 3) ความสำเร็จ เกิดจากการลงมือทำอย่างชาญฉลาด หนักหน่วง และต่อเนื่อง
    ในคณิตศาตร์แห่งความสำเร็จ โดยปกติแล้ว ช่วงแรก ๆ ของการทุ่มเทลงมือทำอะไรสักอย่าง ผลตอบแทนมักจะออกมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก
    อาจน้อยจนเราหมดพลังใจ เงินที่มีก็ร่อยหรอ แรงกายและความหวังที่เหลือก็กำลังจะหมดไป
    .
    แต่ถ้าเราผ่านจุดนี้มาได้ และยังทำอย่างต่อเนื่องต่อไป
    เมื่อ ‘มวลโอกาส’ ได้วิ่งเข้ามาปะทะกับปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สั่งสมไว้ ความสำเร็จของเราอาจพุ่งทะยานได้เป็นกราฟเอ็กโพเนนเชียล
    หลายคนอาจมองว่าจุดการพุ่งทะยานนี้คือ ความโชคดีล้วน ๆ
    แต่ความจริงแล้ว มันเกิดจากการสั่งสม ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ เครือข่ายสายสัมพันธ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
    .
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงจุดพุ่งทะยาน ก็ขอให้อดทนต่อไป
    และอยากให้ระลึกไว้เสมอว่า คนสำเร็จทุกคนก็มักต้องผ่านช่วงลงแรงหนัก แต่ความสำเร็จต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก่อน
    .
    ?️ 4) ในช่วงอายุน้อย ให้เริ่มต้นทำธุรกิจ และใช้เครดิตลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
    โมเดลความสำเร็จที่โค้ชหนุ่มแนะนำคือ การเริ่มต้นจากการทำธุรกิจที่มีกำไรสูง ๆ ก่อน
    ธุรกิจเหล่านี้มักเป็นธุรกิจบริการ เพราะใช้การลงทุนในความรู้ความสามารถมากกว่าการลงทุนในเครื่องมือ
    .
    และเริ่มใช้เครดิตตัวเองที่มีลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นเล็ก
    โดยพยายามอย่าก่อหนี้บริโภคในวัย 20-30 ปี เป็นอันขาด
    .
    พอได้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ชิ้นเล็ก ก็ค่อย ๆ เรียนรู้การลงทุน และเรียนรู้ทรัพย์สินชนิดนี้ไป
    พอได้เงินมา ก็จงอดเปรี้ยวไว้กินหวาน และนำเงินไปลงทุนต่อในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นใหญ่ขึ้น
    หรือจะลงทุนในธุรกิจอื่นเพิ่มเติมก็ได้
    ถ้ามีทีมงานก็อาจลองหาทางต่อยอดจากธุรกิจที่ทำอยู่
    .
    และถ้ามีเงินเก็บจากธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์จำนวนหนึ่ง
    ก็ค่อยเอาไปซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมเก็บไว้
    .
    สิ่งสำคัญคือ การเขียนเป้าหมาย และวางกลยุท์การเรียนรู้ให้ชัดเจน
    .
    ?️ 5) Passive Income ทำให้เราเหนื่อยทำงานหาเงินน้อยลง แต่ Active Income ช่วยให้เราเติมเต็มชีวิตและจิตวิญญาณ เพราะรู้ว่าความสามารถของตัวเองนำไปสร้างคุณค่าให้คนอื่นได้
    ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คำว่า Passive Income ถูกนำมาพูดกันอย่าหนาหูมาก
    แต่หลายคนมีความเข้าใจผิดกับคำ ๆ นี้อยู่ 2 ประการใหญ่ ๆ
  4. ถ้าสร้าง Passive Income จะไม่ต้องทำงานไปชั่วโคตร
    เรื่องนี้แม้จะจริงบางส่วน แต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่ต้องทำงานไปอีกตลอดชีวิต
    เพราะไม่ว่าจะเป็น Passive Income ชนิดไหน เราก็มักต้องไปดูแลอยู่เสมอ
    .
    เช่น
  • ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ เราก็จะต้องเข้าไปดูแลเวลามีคนย้ายเข้า-ย้ายออก หาผู้เช่าใหม่ คอยปรับปรุงอาคารทรัพย์สินให้เหมาะกับการปล่อยเช่าอยู่เสมอ หรือเวลามีปัญหาเรื่องจุกจิก เราในฐานะเจ้าของทรัพย์สินก็ต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหา
  • ถ้าเป็นธุรกิจ แม้เราจะสร้างระบบ แล้วให้ลูกน้องเข้าไปดำเนินการ เราก็จังต้องเจียดเวลาเข้าไปเช็คความเรียบร้อย และคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
  • ถ้าเป็นหุ้นหรือกองทุน พอเวลาหุ้นตก เราก็ต้องวิเคราะห์หุ้นตัวใหม่ และดูจังหวะการซื้อขาย
  • ถ้าเป็นลิขสิทธิ์ เราก็ยังต้องบริหาร เช่นลิขสิทธิ์หนังสือ ส่วนใหญ่จะอยู่กับสำนักพิมพ์ 3-5 ปี แล้วกลับมาเป็นของเรา ซึ่งเราก็ต้องนำไปบริหารต่อ
    .
  1. Passive Income ดีกว่า Active Income และรายได้จาก Active Income ไม่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้
    เรื่องนี้ต้องย้อนมาดูว่าคำว่าอิสรภาพทางการเงินหมายถึงอะไร
    สำหรับโค้ชหนุ่ม คำนี้หมายถึงการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ โดยไม่มีเงินมาเป็นเครื่องพันธนาการ
    .
    ดังนั้นสำหรับบางคน การได้ทำงานที่ตัวเองรักทุกวัน (Active) โดยได้รายได้เพียงพอ สุดท้ายก็นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงินได้เช่นกัน
    .
    ในกรณีของหลายคน การทำงานทั้งแบบ Active และ Passive จะช่วยเติมเต็มชีวิต และทำให้เราได้มีไลฟ์สไตล์ในแบบที่เราต้องการ
    ดังนั้นไม่มีรายได้แบบไหนดีกว่า รายได้ที่เรามีล้วนเป็นเพียงเครื่องมือในการนำมาซึ่งชีวิตในแบบที่เราต้องการแค่นั้น
    .
    ♟ 6) ลองจนกว่าจะเจอวิธีไปสู่ความมั่งคั่งที่เป็นเรา
    เราจะรู้ว่าตัวเองเหมาะกับวิธีสร้างรายได้แบบไหน ไม่มีทางจะรู้ได้ด้วยการเล็ง แต่เราต้องลองลงมือทำ
    .
    บางคนอาจเหมาะกับการถือหุ้นไว้ยาว ๆ แบบ Value Investor (VI) ในขณะที่บางคนอาจเหมาะกับสายเทคนิค ดูกราฟแล้วตัดสินใจ
    สิ่งสำคัญคือ เราต้องหาสิ่งที่ตรงจริตกับเราให้เจอ
    และมีเพียงวิธีเดียวที่จะรู้คือการลอง
    .
    แต่ต้องระวังเส้นบาง ๆ ที่กั้นไว้ ระหว่างการ ‘สิ่งที่ไม่ใช่เรา’ กับการ ‘เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ’
    พวกที่ลองแล้วไม่ใช่ จะสามารถทำสิ่งที่ไม่ชอบได้อย่างอดทน มุมานะ พยายาม
    แต่พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อคือ คนที่ไม่อดทน ไม่พยายามกับอะไรทั้งสิ้นไม่ว่าจะชอบหรือไม่

ผู้เขียน: จักรพงษ์ เมษพันธุ์