ปรับไลฟ์สไตล์ กับปรับเงินในกระเป๋า เลือกเอาว่าจะทำแบบไหน

adminfinbook

 

ปรับชีวิต เพื่อฟิตกับเงินในกระเป๋า หรือ ปรับกระเป๋า ให้พอดีกับไลฟ์สไตล์ ?✌

ไลฟ์สไตล์ของคนวัยทำงานในย่านใจกลางเมืองที่เราเห็นจนคุ้นตา และทำจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มกาแฟ นัดเพื่อนช้อปปิ้ง มีปาร์ตี้หลังเลิกงาน เข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง ฯลฯ หลายคนทำสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่บางคนยึดเป็นมาตรฐาน ที่มนุษย์เงินเดือนควรมี จนคิดว่าถ้าคนอื่นไม่ทำตามก็อาจจะถูกมองว่าแปลกแยก

ถ้าเรามีกิจวัตรแบบนี้ คิดว่าเราใช้จ่ายด้วยความเคยชินกันประมาณเท่าไหร่ ลองคำนวณกันดูง่าย ๆ เช่น รายจ่ายค่ากาแฟ ถ้าในวันทำงานเราดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 1 แก้ว แล้วดื่มกาแฟแก้วละ 50 บาท ระยะเวลาทำงาน 1 เดือน (คิดเป็นเลขกลม ๆ 20 วันทำการ) จะเป็นเงินที่จ่ายกับค่ากาแฟ 50 x 20 = 1,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 5% ของรายได้ ([1,000/20,000] x 100) ในกรณีที่เราเงินเดือน 20,000 บาท แต่ถ้าเงินเดือนเท่ากันแล้วดื่มกาแฟ ราคาแพงขึ้นเป็นแก้วละ 150 บาท จะเป็นเงินที่ใช้ดื่มกาแฟ 3,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 15% ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนรายจ่ายที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากค่ากาแฟแล้ว เราก็ยังมีรายจ่ายอื่น ๆ อีก เช่น ค่าช้อปปิ้ง อาจจะสัปดาห์ละ 1,000-2,000 บาท ค่าปาร์ตี้ สัปดาห์ละประมาณ 1,000 บาท ค่าฟิตเนสเดือนละ 2,500 บาท หรือปีละ 30,000 บาท เป็นต้น

เราทำสิ่งเหล่านี้จนเคยชินเพราะเห็นคนรอบข้างทำกันจึงมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เสื้อผ้าสำเร็จรูปยังมีหลายขนาดให้เลือกใส่ ถ้าเราตัวเล็กแต่ใส่เสื้อผ้า XXL ก็อาจจะหลวมมาก การบริหารการเงินก็เช่นกัน เราจึงควรเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับขนาดเงินในกระเป๋าของเรา เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องประหยัดเกินไปจนอึดอัด หรือใช้จ่ายมากเกินไปจนกระเป๋าแห้ง ซึ่งบทความนี้จะแนะนำวิธีปรับสมดุลระหว่างไลฟ์สไตล์กับเงินให้สอดคล้องกัน ฉบับที่ใคร ๆ ก็ทำได้

☝แนวคิดที่ 1 การปรับไลฟ์สไตล์เข้าหาเงิน

ถ้าเราตัวเล็กก็เลือกเสื้อผ้าไซส์ S หรือถ้าอ้วนมากก็เลือกใส่ไซส์ XXL เพื่อให้พอดีกับรูปร่างตนเองเหมือนกับ ไลฟ์สไตล์ของเราที่ต้องปรับเปลี่ยน ให้พอดีกับรายได้หรือน้อยกว่ารายได้ เพื่อจะได้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น จากตัวอย่างไลฟ์สไตล์ข้างต้น เราสามารถมีเงินเหลือง่าย ๆ เช่น

ปรับการดื่มกาแฟแก้วละ 150 บาท เป็นกาแฟแก้วละ 50 บาท หรือกาแฟฟรีที่ทำงานแทน เข้มงวดกับการใช้จ่ายโดยตั้งงบช้อปปิ้งให้แน่นอน ถ้าเดือนนี้ไม่ซื้อ เงินจำนวนนี้จะได้เก็บเป็นเงินออมหรือทบไปใช้เดือนหน้า ลดการปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนให้เหลือซักเดือนละ 1-2 ครั้งแทนที่จะนัดกันทุกสัปดาห์ เลือกดูหนังในวันที่มีโปรโมชั่นตั๋วราคาถูกหรือได้รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษจากบัตรเครดิต ประหยัดค่าสมาชิกฟิตเนสเดือนละ 2,500 บาท เป็นค่าเดินทางเดือนละไม่กี่ร้อยบาท ไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะแทน

ถ้าขนาดกระเป๋าเงินของเราเริ่มมีขนาดเล็กลง สิ่งหนึ่งที่เราควรนึกถึง คือ การประหยัด เราควรปรับวิธีการใช้จ่ายเงินให้ลดลงเหมาะสมกับขนาดของเงินในกระเป๋า โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองใหม่ แม้ว่าช่วงแรก ๆ จะอึดอัดบ้างเพราะเราอาจจะเคยชินกับความสะดวกสบาย แต่สุดท้ายถ้าเราตั้งใจและอดทน เราจะได้ผลลัพธ์ที่น่าภูมิใจกลับมาเป็นผู้ที่ใช้เงินเป็น

✌แนวคิดที่ 2 การปรับเงินเข้าหาไลฟ์สไตล์

ถ้าเรายังติดกับไลฟ์สไตล์แบบเดิม ๆ ต้องการจับจ่ายใช้สอยอู้ฟู่มากขึ้น หรืออยากมีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เราคงต้องปรับเงินในกระเป๋าให้มากขึ้นตาม หรือสร้างรายได้ให้มากขึ้นนั่นเอง ด้วยหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ เช่น ฝึกทักษะพัฒนาตนเอง หรือหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อสร้างโอกาส เสริมรายได้ หารายได้พิเศษตามความถนัด ขายของมือสอง งานอดิเรกหรือของสะสมก็ทำเงินได้ เป็นต้น

ทั้ง “การประหยัดรายจ่าย” ซึ่งเป็นการปรับไลฟ์สไตล์เข้าหาเงิน หรือ “การสร้างรายได้” คือการปรับเงินเข้าหาไลฟ์สไตล์ เป็น 2 แนวคิดง่าย ๆ ที่แต่ละคนต้องลองไปปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และไม่ว่าแต่ละคนจะเลือกปรับแบบไหน สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่ากันเลยก็คือ การสร้างนิสัยและวินัยในการใช้เงินที่ดี ซึ่งเป็นวิธีการปรับชีวิตที่ยั่งยืน สมดุลและสามารถสร้างความสุขได้ง่าย ๆ เพื่ออนาคตทางการเงิน ที่มั่นคง