?8 แนวคิด พลิกชีวิตการเงิน?

adminothers

?8 แนวคิด พลิกชีวิตการเงิน?

ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่า ความเป็นไปของชีวิตเรา ส่วนหนึ่งถูกกำหนดมาจากเงิน ชีวิตเราต้องทำงานเพื่อให้ได้เงิน ประเด็นคือ แล้วเงินที่เราได้มานั้น ถูกนำไปจัดสรรบริหารอย่างถูกต้องจริงหรือไม่ ?

วันนี้ “well-wisher” ขอเสนอ 8 แนวคิดพลิกชีวิตการเงิน เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานในการใช้เงินค่ะ

?1 : ทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ตัวเราเอง

เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ หลายคนเกษียณพร้อมกับเงินก้อนโต ตามระดับความสามารถของตน ตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่สิ้นสุดลง เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ใช้ดำเนินชีวิตหลังเกษียณ

ช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้อีกต่อไป แน่นอนว่าโอกาสที่เราจะใช้เงินยามชราแบบสบาย ๆ เป็นเรื่องที่ยาก เมื่อถึงเวลานั้น ความคิดที่ว่า จะใช้เงินส่วนนี้ไปกับการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก คงเป็นเพียงเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เพราะนอกจากการใช้จ่ายอยู่กินแล้ว

ยังมีเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงได้ยากอย่างการรักษาอาการเจ็บป่วย โอกาสที่เงินก้อนนั้นของคุณจะกลายเป็นค่ารักษาพยาบาลตัวเองจึงสูงมาก

ดังนั้น การดำเนินชีวิตแบบสมดุลทั้งกายและใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รักษาสุขภาพ การกิน การออกกำลังกาย ให้เหมือนกับ การรักษาเงินทองในธนาคาร

?2 : ความสามารถในการสร้างรายได้ vs รายจ่าย

หลายครั้งที่เราใช้จ่ายเงินออกไปโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะไม่ทราบต้นทุนด้านเวลาของตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือน 20,000 บาท เวลางาน 176 ชม.ต่อเดือน (= 22วัน x 8ชม) เฉลี่ยรายได้ 114 บาทต่อชม. ( = 20,000/176) แสดงว่าการกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างราคา 500 บาทในเวลาชั่วโมงครึ่ง ต้องแลกกับการทำงานครึ่งวัน เป็นต้น

การเปรียบเทียบความสามารถทางรายได้กับสิ่งที่เรากำลังจะใช้จ่ายไป ในหน่วยเวลาเหมือนกัน จะช่วยดึงสติการใช้จ่ายไม่เป็นเหตุเป็นผลของเรากลับมาได้

ลักษณะนี้ยังสามารถ ประยุกต์ใช้กับการว่าจ้างคนงานในลักษณะงานไม่สำคัญ เช่น การทำงานบ้าน การทำงานที่เสียเวลาและไม่มีความสำคัญ เป็นต้น

หากการจ้างงานนั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่าการเสียเวลาลงมือทำเอง เพราะจากชั่วโมงเดียวกัน เราสามารถใช้ให้ก่อประโยชน์เกิดรายได้ที่สูงกว่าค่าจ้างที่เราจ่ายไป

?3 : ระดับเงินกับระดับความสุขไม่เกี่ยวข้องกันเสมอไป

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกอย่างทำให้ดูเหมือนว่า ชีวิตนี้จะต้องรวยเท่านั้น ถึงจะสบายได้ สร้างภาพลวงตาว่า มีเงินมากขึ้น จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น สังเกตได้จาก รายได้เฉลี่ยประชากรในตัวเมืองย่อมสูงกว่าพื้นที่ชานเมืองออกไป

คำถามคือ คนที่ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่ ?

คำตอบ คงสะท้อนภาพการใช้ชีวิตคนเมืองที่ดูต้องเร่งรีบ รับแรงกดดันในการทำงาน และแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอดเวลา แสดงว่า รายได้ที่ได้รับเพิ่มมากขึ้น 20% ไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้น 20% เลยสักนิด

ทั้งนี้ แน่นอนว่า เงินสามารถซื้อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในชีวิตได้ และส่งผลต่อระดับความมั่นคงทางการเงินได้ แต่ไม่เสมอไปสำหรับความคิดที่ว่า ฉันจะได้รับความสุขมากขึ้น เมื่อฉันมีเงินมากขึ้น

?️4 : กระแสเงินสดไหลออกไปควรน้อยกว่ารายได้ที่ไหลเข้ามา

วิธีเดียวที่จะช่วยทำให้เกิดความมั่นใจในฐานะการเงินได้ คือ การมีเงินเหลือจนถึงสิ้นเดือน แสดงให้เห็นว่า

แม้ว่าสถานะการเงินตอนนี้ จะไม่มีเหลือเก็บออมหรือลงทุน แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นหนี้ การดำเนินชีวิตแบบใช้เงินอนาคตในสินทรัพย์จำเป็น เช่น บ้าน จริงอยู่ที่มันตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยได้ทันที แต่ก็อันตรายหากต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโต ในช่วงที่ความสามารถทางการเงินยังมีไม่มากพอ

ดังนั้น กระแสเงินสดไม่ว่าจะไหลเข้าหรือไหลออก จึงควรมาจากสิ่งที่วางแผนไว้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแบบไม่มีที่มาที่ไปหรือไร้ประโยชน์

การรักษาความสามารถทางการเงินจากการลดค่าใช้จ่ายในสิ่งไม่จำเป็น ประเมินและจัดลำดับความสำคัญทางการเงินอย่างระมัดระวัง อาจจะสร้างความ อึดอัดเล็กน้อยในวันนี้ เพื่อความมั่นคงทางการเงินที่ดีในอนาคต

❤️5 : ยิ่งลงทุนเร็ว ยิ่งสำเร็จเร็ว

หนึ่งในแนวคิดทางการเงินที่สำคัญที่สุด และเป็นความจริงที่เข้าใจได้อย่างดีที่ว่า ยิ่งลงทุนเร็ว ยิ่งได้เปรียบในเรื่องประสบการณ์ความรู้และระยะเวลาที่ใช้ลงทุนในชีวิต แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องง่าย

แต่ก็เป็นประเด็นที่สามารถสร้างข้อแตกต่างระหว่างความยากจนและความมั่งคั่งในอนาคตได้ เพราะพลังการทบต้นของผลประโยชน์จากการลงทุนเป็นเรื่องอัศจรรย์ ดังนั้น อย่ารอช้าในการเริ่มต้นวางแผนออมและลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย

เพื่อการเกษียณอายุจะไม่สายเกินไปในชีวิตการทำงานของเรา เริ่มต้นนิสัยของการลงทุนขั้นต่ำ 10% ถึง 15% ของรายได้ทุกเดือน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตก็ตาม

❌6 : อยากเปลี่ยนผลลัพธ์ ต้องเปลี่ยนวิธีทำ

ทำสิ่งเดิม ผลลัพธ์ย่อมออกมาแบบเดิมตามที่เคยได้รับ เปรียบเช่นเดียวกับ การทำพฤติกรรมทางการเงินผิด
ๆ เหมือนในอดีต ย่อมสร้างปัญหาการเงินอย่างที่เคยเป็นมาในอดีด

หากยังไม่หยุดคิดที่จะเริ่มปรับปรุงพฤติกรรมทางการเงินหรือสร้างความมั่งคั่ง อาจจะต้องปรับทัศนคติใหม่อย่างรุนแรง ต้องลองอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เช่นย้ายที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน , ใช้รถคันเก่าแทนการเป็นหนี้รถคันใหม่ , การหางานใหม่ที่ให้เงินเดือนที่ดีกว่าเดิม , เริ่มต้นธุรกิจหารายได้เสริม เป็นต้น

คนประสบความสำเร็จทั่วไปไม่ได้ฉลาดหรือโชคดีกว่าคนอื่น เพียงแต่พวกเขาเลือกใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเห็นคุณค่าการดำเนินชีวิตกว่าคนทั่วไป

❗️7 : pay yourself first

ควรสร้างระบบตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนของคุณ ทันทีที่มีเงินเดือนเข้า มันจะถูกตัดไปบัญชีเพื่อการลงทุน และบัญชีเงินออมก่อนเสมอ เช่น กองทุนรวม , บัญชีเงินฝากประจำ เป็นต้น เลือกเงื่อนไขตามความมีระเบียบวินัยในตัวเอง

☢️8 : การเงินเริ่มต้นที่ปัจจุบัน และส่งผลต่ออนาคต

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ขอเปรียบเทียบดังนี้ ในโลกธุรกิจ จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้รับประโยชน์ ที่เรียกว่า ต้นทุนจม (sunk cost )

สมมติว่า บริษัทขุดเจาะน้ำมัน ใช้งบลงทุนมากมายในการขุดเจาะค้นหาน้ำมัน ขุดไปลึกเท่าใดก็ยังไม่เจอน้ำมันสักที ประเด็นที่เกิดขึ้น คือ จะยังขุดต่อไป หรือ เปลี่ยนตำแหน่งขุดใหม่ดี ?

สะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจปัจจุบันขึ้นอยู่กับว่า ทำอะไรแล้ว จะเกิดสิ่งที่ดีที่สุดในอนาคต ไม่ได้ย่ำอยู่กับอดีตที่ผิดพลาดและเจ็บปวด การเงินส่วนบุคคลก็เช่นกัน

เราทุกคนล้วนเคยมีต้นทุนจม ที่รอคอยความคาดหวังว่าจะได้ทุนกลับคืนมา เช่น ลงทุนผิดจังหวะ , ใช้จ่ายซื้อของไร้ประโยชน์ เป็นต้น

การรอคอยบนพื้นฐานข้อผิดพลาดในอดีตไม่มีประโยชน์ต่อความสำเร็จใด ๆ เก็บสิ่งผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน แล้วตัดสินใจ เลือกทำสิ่งปัจจุบันที่ก่อประโยชน์ที่ดีที่สุดในอนาคตย่อมดีกว่า

ดังนั้น ควรต้องคิดเสมอว่า พฤติกรรมตัวเราในตอนนี้ สามารถนำพาเราเข้าใกล้เป้าหมายได้จริงไหม ?

Original by “well-wisher”